STEC (HOLD : Fair Price : Bt 10.80) : ปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อความคล่องตัว
เราปรับคำแนะนำลงเป็น "ถือ" โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 10.8 บาท (23.5XPER’24E) เพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 17% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเราคาดว่าเป็นผลจากการคาดหวังถึงการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐ และการปรับโครงสร้างบริษัทไปเป็นบริษัท Holding ที่จะทำให้บริษัทสามารถขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นได้สะดวกขึ้น อย่างเช่นการถือหุ้นในธุรกิจสัมปทานเป็นต้น แต่ในแง่ผลประกอบการงวด 4Q23 คาดว่าจะไม่ดีนัก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น รวมถึงกำไรขั้นต้นที่ยังไม่กลับไปสู่ระดับปกติ โดยเราคาดไว้เพียง 93 ล้านบาท (-70%YoY,-28%QoQ)
**คาด 4Q23 กำไรเพียง 93 ล้านบาท (-70%YoY,-28%QoQ) **
• เราคาดกำไรสุทธิงวด 4Q23 ของ STEC จะมีเพียง 93 ล้านบาท (-70%YoY,-28%QoQ) ได้รับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นกว่า 29%YoY,87%QoQ รวมถึงรายได้ที่ลดลงหลังจากยังไม่มีงานที่มีมูลค่าสูงเพิ่มเข้ามา
• รายได้ที่ 7,601 ล้านบาท (-11%YoY,-4%QoQ) ลดลงเพราะยังไม่มีงานขนาดใหญ่เซ็นสัญญาเข้ามา มีเพียงการเซ็นสัญญางานเพิ่มเข้ามากว่า 3,000 ล้านบาทระหว่างไตรมาสก็ตาม
• กำไรขั้นต้นรวมคาดที่ 5% ลดลงจาก 5.8% ใน 4Q22 เพราะงานที่มีกำไรสูงอย่างงานโรงไฟฟ้าเริ่มมีสัดส่วนที่ลดลง แต่ดีขึ้นจาก 4.5% ใน 3Q23 ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจก่อสร้างที่มีกำไรขั้นต้นดีขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการบริหารคาดที่ 255 ล้านบาท (+29%YoY,+87%QoQ) ส่วนใหญ่เป็นผลจากการบันทึกโบนัสพนักงานเข้ามา รวมแล้ว STEC มีกำไรจากการดำเนินงาน 123 ล้านบาท (-59%YoY,-44%QoQ)
• ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมมีเข้ามา 54 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,180%YoY เพราะมีการรับรู้ผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเข้ามา (ส่วนสายสีชมพูมีการปรับปรุงสัญญาทำให้ยังไม่มีการบันทึกผลขาดทุนเข้ามาในไตรมาสนี้)
• รวมแล้วในปี 23 เราคาดรายได้ 29,146 ล้านบาท (-4%YoY) และมีกำไรสุทธิ 547 ล้านบาท (-48%YoY)
ปรับโครงสร้างบริษัท เพื่อความคล่องตัว
ในปี 24 สิ่งสำคัญที่จะเกิดกับ STEC คือการปรับโครงสร้างบริษัทไปเป็นบริษัท STECON group ที่เป็นบริษัท Holding ผ่านการแลกเปลี่ยนหุ้นกับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นบริษัทใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นในการสร้างรายได้ประจำมากขึ้นจากที่เดิมมีรายได้จากธุรกิจก่อสร้างเพียงทางเดียว รวมถึงหาผู้ร่วมลงทุนได้สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ปัจจุบัน STEC มีการร่วมลงทุนอยู่ในหลายบริษัทเช่นธุรกิจสัมปทานอย่างรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สายสีชมพู งานมอเตอร์เวย์เส้นทาง M6 และ M81 และสนามบินอู่ตะเภา และธุรกิจด้านข้อมูล Data center ที่จับมือกับ xxx เป็นต้น ด้านผลประกอบการปี 24 เราคาดว่ารายได้และกำไรจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง โดยรายได้จะมาจากงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และรถไฟทางคู่ที่คาดว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น เราคาดรายได้ที่ 30,754 ล้านบาท (+6%YoY) และกำไรสุทธิที่ 701 ล้านบาท (+28%YoY)
**ลดคำแนะนำเหลือเพียง "ถือ" **
เราปรับลดคำแนะนำลงเป็น “ถือ” เพราะราคาหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับขึ้นไปกว่า 17% จนทำให้ส่วนต่างกับมูลค่าเหมาะสมที่เราประเมินไว้ที่ 10.8 บาท (23.5XPER’24E) เพียง 7%