NER (BUY : Fair Price : Bt 6.60) : 3Q24 ต้นทุนขึ้นกดดันกำไรขั้นต้น
**เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” เพราะมีปัจจัยบวกจากแนวโน้มปริมาณขายในช่วง 4Q24 ที่คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี จากการได้รับผลดีจากราคายางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ก.ย. เป็นต้นมา ขณะที่แนวโน้มในปี 25 NER ตั้งเป้ายอดขายที่ระดับ 500,000 ตัน (+14%YoY) รวมถึงราคาขายมีโอกาสเห็นระดับ 70 บาท/กก. ซึ่งจะหนุนให้ผลประกอบการเติบโตต่อได้โดยเบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิปี25 ที่ระดับ 2,005 ล้านบาท (+6%YoY นับเฉพาะกำไรปกติ) ส่วนผลประกอบการงวด 3Q24 มีกำไรปกติ 221 ล้านบาท (-35%YoY, -55%QoQ) ได้รับผลกระทบจากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงกลางไตรมาสทำให้เป็นปัจจัยกดดันกำไรขั้นต้นให้ลดลงเหลือเพียง 8% จาก 10.9% ใน 3Q23 และ 12.4% ใน 2Q24 **
**3Q24 กำไรสุทธิ 361 ล้านบาท (+16%YoY, -25%QoQ) **
• NER มีกำไรสุทธิ 361 ล้านบาท (+16%YoY,-25%QoQ) แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นรายได้กว่า 140 ล้านบาท กำไรปกติจะอยู่ที่ 221 ล้านบาท (-35%YoY, -55%QoQ) ลดลงเพราะกำไรขั้นต้นถูกกดดันจากต้นทุนราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.
• รายได้อยู่ที่ 6,163 ล้านบาท (+10%YoY,+6%QoQ) มีปริมาณขาย 98,006 ตัน (-13%YoY,+8%QoQ) ส่วนราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 62 บาท/กก. (+26%YoY,-2%QoQ )
• กำไรขั้นต้นที่ 8% ลดลงจาก 10.9% ใน 3Q23 และ 12.4% ใน 2Q24 ได้รับผลกระทบจากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขณะที่ราคาขายเป็นการทำสัญญาไว้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่ราคายังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 177 ล้านบาท (+23%YoY,+63%QoQ) เทียบกับปีก่อนเพิ่มมากในส่วนของค่าใช้จ่ายในการบริหาร ส่วนเทียบกับ 2Q24 เพิ่มขึ้นมากในเพราะมีปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 76%QoQ
• ดอกเบี้ยจ่าย 115 ล้านบาท (+4%YoY,+4%QoQ)
• รวมแล้วในช่วง 9M24 NER มีกำไรสุทธิ 1,293 ล้านบาท (+19%YoY)
4Q24 ยอดขายดีสุดของปี ส่วนปี 25 ตั้งเป้าขายเพิ่ม 14%YoY
แนวโน้มในช่วง 4Q24 ทางผู้บริหารคาดว่าจะมียอดขายสูงสุดของปีที่ระดับ 130,000 ตัน โดยมีการขายล่วงหน้าไปเกือบหมดแล้ว นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากราคาขายที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคายางที่ปรับขึ้นมาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำให้ผล
ประกอบการไตรมาสดังกล่าวออกมาดีที่สุดของปี
สำหรับปี 25 เบื้องต้นทางผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายที่ระดับ 500,000 ตัน (+14%YoY) รวมกับราคายางที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงได้ แม้ว่าทางยุโรปจะมีการเลื่อนการใช้ EUDR ไปก็ตาม ซึ่งการเลื่อนดังกล่าวทำให้ทาง NER ยังมีเวลาเพิ่มในการจัดการตามเงื่อนไขได้
ด้านการลงทุนในประเทศไอวอรี่โคสต์ ปัจจุบันตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในปี 25 จะเริ่มก่อสร้างโรงงานมีกำลังการผลิตประมาณ 88,000 ตัน (ที่ไทยมี 515,600 ตัน) และรับรู้รายได้ช่วงกลางปี 26 เป็นต้นไป
คงแนะนำ “ซื้อ” เพราะมองว่า 4Q24 จะกลับมาดี
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” มีปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการงวด 4Q24 ที่คาดว่าจะออกมาดีสุดของปี โดยเรามีการปรับประมาณการเล็กน้อย คาดกำไรสุทธิที่ 1,987 ล้านบาท (+29%YoY) และทำให้มูลค่าเหมาะสมปรับขึ้นมาเป็น 6.6 บาท (6.5XPER’24E) นอกจากนี้เรายังคาดว่า NER จะจ่ายเงินปันผลสำหรับงวด 2H24 อีก 0.36 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนกว่า 7% (รวมทั้งปีจ่าย 0.41 บาท/หุ้น)