NER (BUY : Fair Price : Bt 6.25) : เป้ายอดขายปีนี้เริ่มเสี่ยง

Published
Share this article:

**สรุปประเด็นสำคัญหลังการประชุมนักวิเคราะห์ทางผู้บริหารให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมในปี 25 ว่าเป้าการขายที่ระดับ 500,000 ตันเริ่มมีความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าบางส่วนมีการชะลอคำสั่งซื้อจากผลกระทบเรื่องภาษีของสหรัฐฯ และทำให้ทางบริษัทมีการเลื่อนการสร้างโรงงานใหม่ไปเป็นต้นปี 26 แทน อย่างไรก็ตามระยะยาว NER มองว่าจากการที่ไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตยางมากที่สุดในโลก ทำให้หลังได้ข้อสรุปเรื่องภาษีแล้วคำสั่งซื้อจะทยอยกลับมา ทั้งนี้จากกำไรขั้นต้นในช่วง 1Q25 ที่มีเพียง 10.2% ทำให้เราปรับสมมติฐานทั้งปีลง จากเดิม 11% เหลือ 10.2% จึงประเมินกำไรสุทธิได้ใหม่ที่ 1,863 ล้านบาท เรายังแนะนำ “ซื้อ” เพราะยังมีจุดเด่นเรื่องเงินปันผลที่คาดผลตอบแทนเกือบ 10% แต่แนะนำให้รอความชัดเจนเรื่องภาษีก่อนเข้าลงทุน **

**1Q25 กำไรสุทธิ 609 ล้านบาท (+34%YoY, +69%QoQ) **

• NER มีกำไรสุทธิ 609 ล้านบาท (+34%YoY,+69%QoQ) แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นกำไรกว่า 14 ล้านบาท จะมีกำไรปกติที่ 595 ล้านบาท (+25%YoY,+22%QoQ) สูงสุดนับตั้งแต่ 3Q22 ได้รับผลดีจากราคาขายที่ปรับตัวดีขึ้น

• รายได้อยู่ที่ 8,698 ล้านบาท (+33%YoY,-3%QoQ) มีปริมาณขาย 127,090 ตัน (+11%YoY,-7%QoQ) ส่วนราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 68 บาท/กก. (+20%YoY,+4%QoQ) ได้รับผลดีจากราคาตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี

• กำไรขั้นต้นที่ 10.6% ลดลงจาก 11.6% ใน 1Q24 จากต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้น แต่ดีขึ้นจาก 8.8% ใน เพราะราคาขายเฉลี่ยขึ้นมากกว่าต้นทุนหลังต้นทุนเดิมหมดไป

• ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 175 ล้านบาท (+15%YoY, +8%QoQ) เพิ่มขึ้นเพราะมีปริมาณส่งออกเพิ่ม

• ดอกเบี้ยจ่าย 139 ล้านบาท (+22%YoY,+8%QoQ) เพราะมีออกหุ้นกู้เพิ่ม

เป้าขายปี 25 ที่ 500,000 ตัน รอดูกลางปีอีกที

ภาพรวมการขายในช่วงที่เหลือของปี จากการสอบถามกับผู้บริหารล่าสุดกล่าวว่าการขายส่วนใหญ่ทำล่วงหน้าไปจนถึงช่วงปลาย 3Q25 แล้ว โดยมีคำสั่งซื้อในมือกว่า 400,000 ตัน แต่ด้วยในประเด็นเรื่องการเก็บภาษีตอบโตของทางสหรัฐฯทำให้ลูกค้าบางส่วนมีการชะลอคำสั่งซื้อไป ซึ่งอาจจะทำให้เป้าปริมาณขายในระดับ 500,000 ตัน มีความเสี่ยงที่อาจจะไม่เป็นไปตามเป้า โดยผู้บริหารจะรอความชัดเจนของมาตรการภาษีอีกครั้งว่าจะเป็นเช่นใด อย่างไรก็ตามทางบริษัทยังมีการหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดผ่านการรับรองโรงงานจากผู้ผลิตยางล้อจากประเทศอินเดียแล้ว 1 และอยู่ระหว่างตรวจสอบอีก 1 ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานลูกค้าในอนาคตเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนลง
จากผลกระทบเรื่องภาษีทำให้แผนการสร้างโรงงานยางแท่งแห่งที่ 3 ต้องเลื่อนไปจากเดิมช่วง 2H25 เป็นต้นปี 26 แทน อย่างไรก็ตาม NER มีการปรับปรุงโรงงานเดิมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตได้ประมาณ 15%

คงแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับกำไรลงเล็กน้อย

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” มีปัจจัยบวกจากการมองว่าระยะยาวด้วยการที่ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบยางพาราเบอร์ 1 ของโลก ทำให้แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ แต่บริษัทล้อยางยังคงต้องการยางพาราอยู่ทำให้การขายยังมีโอกาสเติบโตได้ ทั้งนี้ด้วยกำไรขั้นต้นที่เหลือเพียง 10.6% ขณะที่แนวโน้ม 2Q25 คาดกำไรขั้นต้นยังใกล้เคียงเดิม ทำให้กำไรขั้นต้นทั้งปีที่เป็นสมมติฐานของเราที่ 11% อาจจะสูงไป เราจึงปรับสมมติฐานเป็น 10.2% และทำให้ประเมินกำไรในปี 25 ได้ใหม่ที่ 1,863 ล้านบาท (+13%YoY) โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 6.25 บาท (6.2XPER’25E)