KKP (HOLD : Fair Price : Bt 57.00) : กำไรฟื้นตัวหนุนจาก NIM และตลาดทุน
เราคงคำแนะนำ "ถือ" ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานเป็น 57 บาท สะท้อนมุมมองบวกต่อความสามารถทำกำไรที่สูงขึ้นจากการควบคุมคุณภาพสินเชื่อดีขึ้น รายได้จากตลาดทุนเติบโต และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยลดลงลดต้นทุนการเงิน อย่างไรก็ดี ตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องในปี 2025 โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2024 จะปรับลดลง 17% YoY และฟื้นตัวกลับมาขยายตัว 8.2%/5.7% ในปี 2025-26 ด้านผลการดำเนินงานใน 3Q24 กำไรสุทธิแข็งแกร่งที่ 1.3 ล้านบาท (+69.7% YoY, +1.9% QoQ) NPL ratio ปรับขึ้นเป็น 4.3% และ Coverage ratio ลดลงที่ 135.9%
ประชุมนักวิเคราะห์
• สถานการณ์ตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์อ่อนแอ ความต้องการรถยนต์ยังไม่ฟื้นตัว และราคารถมือสองผันผวน ธนาคารไม่เร่งเติบโตทำให้คาดฐานสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์แนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
• แม้ราคารถยนต์ใช้แล้วผันผวน แต่การบริหารสต๊อกรถยึดกลับเป็นปกติเหลือราว 3 พันคัน จากที่เคยสูงสุดถึง 8 พันคัน เพราะชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ทำให้แนวโน้มการขาดทุนรถยึดจะลดลง คุณภาพสินเชื่อของสินเชื่อเช่าซื้อในปี 2024 มีคุณภาพดีขึ้น เทียบกับสินเชื่อที่ปล่อยในปี 2022-23 ยังพบปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ
• KKP ยังมีความเป็นห่วงคุณภาพสินเชื่อกลุ่ม SME และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีการชะลอให้สินเชื่อใหม่ แต่อยู่ในระดับควบคุมได้
• สินเชื่อที่แนวโน้มเติบโตชะลอตัว และผลขาดทุนจากรถยึดลดลงทำให้แนวโน้ม Credti cost ลดลง แต่อาจจะยังเห็น Credit cost ใน 4Q24 ระดับสูงจากการเพิ่มสำรองหนี้ฯ ส่วนเกิน (Mangement overay)
• กลยุทธ์การเติบโตเน้นไปที่การบริหารเงินทุนด้วยการเติบโตในธุรกิจด้านตลาดทุนมากกว่าจะการขยายสินทรัพย์ โดยพบว่าความต้องการเพิ่มขึ้นที่ลูกค้าสนใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (IPO) แต่ยังไม่สามารถระบุช่วงเวลาได้
• การบริหารเงินกองทุนที่มีประสิทธิภาพ KKP พิจารณาการจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น และอาจทำการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติมในอนาคต
รับอานิสงส์จากธุรกิจตลาดทุน และคุมคุณภาพสินเชื่อดีขึ้น
• KKP ได้รับอานิสงส์จากตลาดทุนฟื้นตัวกระตุ้นรายได้จากธุรกิจตลาดทุน และทิศทางอัตราดอกเบี้ยลดลงส่งผลให้การบริหารต้นทุนการเงินดีขึ้นส่งผลดีต่อ NIM ทรงตัว และปรับขึ้นได้ในปี 2025
• เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 10.5%/15.5%/13.5% ในปี 2024-26 โดยเราคาดว่ากำไรสุทธิจะปรับลดลง 17% แต่จะฟื้นกลับมาขยายตัว 8.2%/5.7% ในปี 2025-26
• ปรับ Dividend payout ratio เป็น 50% จาก 47% เป็นผลให้คาดอัตราผลตอบแทนจะเพิ่มเป็น 5.0%/5.4%/5.7% ในปี 2024-26
ปรับคำแนะนำเป็น "ซื้อ" ด้วยมูลค่าพื้นฐาน 57 บาท
คงคำแนะนำ “ถือ” ปรับมูลค่าพื้นฐานขึ้นเป็น 57 บาท (จาก 50 บาท) สะท้อนมุมมองบวกต่อความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้น ประเมินด้วยวิธี GGM (ROE 7.5%, Terminal growth 2%) อิง 0.72x PBV’25E หรือ -1.0SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี (2014-2023)