CENTEL (BUY : Fair Price : Bt 38.00) : คาดกำไร 4Q24 อ่อนตัว YoY
คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานที่ 38 บาท โดยเรากำไรปกติใน 4Q24 ที่ 239 ล้านบาท (-44% YoY, +46% QoQ) แม้อาจเติบโต QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แต่คาดอ่อนตัว YoY ด้วยผลขาดทุนโรงแรมเปิดใหม่มัลดีฟส์ที่สูงกว่าที่เดิมคาด อยู่ที่ 4-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เดิมคาดไว้ที่ 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ทั้งนี้เรามองว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในช่วงก่อนหน้าได้สะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามเรายังคงมองว่า CENTEL น่าสนใจจากแนวโน้มที่ดีของธุรกิจหลักในปี 2025 หนุนด้วย 1) การเติบโต RevPar ที่คาดสูงขึ้นจากโรงแรมที่ได้รับการปรับปรุง 2) โรงแรมใหม่ที่จะทะยอยผ่านจุดคุ้มทุน และ 3) การเน้นขยายสาขาร้านอาหารที่มีอัตรากำไรสูงผลักดัน ROE เติบโต
แนวโน้ม 4Q24 กำไรเติบโต QoQ จากปัจจัยฤดูกาล แต่อ่อนตัว YoY
เรามองว่ายังมีโอกาสที่กำไรปกติจะอยู่ที่ราว 239 ล้านบาท (-44% YoY, +46% QoQ) โดยธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนและค่าใช้จ่ายรับรู้ช่วงแรกของโรงแรมที่มัลดิฟส์ (Centara Mirage Lagoon Maldives และ Centara Grand Lagoon) ที่สูงกว่ามูลค่าที่เดิมบริษัทประเมินจาก 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 4-5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประกอบกับ โรงแรม Centara Karon และ Centara Grand Mirage Beach Resort Pattaya ที่มีการเปิดให้บริการห้องพักหลังปรับปรุงล่าช้าในเดือนธันวาคม ในขณะที่รายได้จากสาขาร้านอาหารเดิมอ่อนแอ (SSSG -0.5% YoY) และรายได้ร้านอาหารรวมโตเล็กน้อย (TSS +3% YoY) ทั้งนี้เรายังคงมองว่ากำไรปกติ 4Q24 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลท่องเที่ยวในประเทศไทย และมัลดีฟส์
คาดผลประกอบการปี 2025 มีโอกาสเติบโต
ถึงแม้เรามองว่าปี 2025 มีความท้าทายจาก 1) การปรับปรุงโรงแรม 2 แห่ง (Centara Krabi และ Centara Grand Hua Hin) และ 2) นักท่องเที่ยวจีนที่อาจโตแบบชะลอจากปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งอาจกระทบรายได้ทั้งในประเทศไทย และมัลดีฟส์ แต่กำไรปกติยังคงมีโอกาสเติบโตจาก 1) RevPar ที่สูงขึ้นหนุนด้วยการกลับมาเปิดโรงแรมปรับปรุงใหม่ที่พัทยาและกะรน 2) โรงแรมญี่ปุ่นที่สามารถรับรู้รายได้มากขึ้น หนุนจากการจัดงาน World Expo 2025 ที่เมืองโอซาก้าในช่วงเดือนเมษายนจนถึงตุลาคม 3) แผนการเร่งขยายสาขาแบรนด์ร้านอาหารที่ทำกำไรได้สูง หลังลดจำนวนสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพไปมากในปี 2024 และ 4) คาดจำนวนนักท่องเที่ยวโต โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยตั้งเป้าที่ 40 ล้านคน (+14% YoY)
ปรับลดมูลค่าพื้นฐาน แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ปรับมูลค่าพื้นฐานลงอยู่ที่ 38 บาท (-26.8%) เนื่องจาก 1) จำนวนห้องพักเปิดใหม่ในประเทศไทยเปิดน้อยกว่าเป้าหมายที่เดิมตั้งไว้ในต้นปี 2024 2) ผลขาดทุนและค่าใช้จ่ายโรงแรมใหม่ที่มัลดีฟส์ที่สูงกว่าคาด และ 3) เพื่อสะท้อน ภาพตลาดการท่องเที่ยวในประเทศไทยในเชิงอนุรักษ์นิยมมากขึ้น จากการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่ยังคงช้ากว่าประเทศท่องเที่ยวอื่นๆ โดยคำนวณด้วยวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ด้วย WACC 7% และ TG 2.5% โดยมีภาระดอกเบี้ยต่อเงินทุน (IBD/E) ที่ต่ำ 0.9x และมูลค่าซื้อขายน่าสนใจ EV/EBITDA ที่ 10x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่ 16x บน Bloomberg Consensus