BBL (BUY : Fair Price : Bt 160.00) : Valuation ไม่แพง และเงินปันผลสูง
**เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" แต่ปรับลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 160 บาท (จาก 172 บาท) สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไรลง ประเมินด้วยวิธี GGM (ROE 8%, Terminal growth 2%) อิงกับ 0.53x PBV’25E ทั้งนี้ แม้การเติบโตของกำไรในปี 2025 จะไม่โดดเด่น และมีความท้าทายเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอก เราชอบ BBL (1) งบดุลแข็งแกร่ง (2) Valuation ไม่แพงซื้อขายที่ 0.45x PBV'25E และ PE’25 ที่ 5.7 เท่า (3) ความสามารถในการเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย ควบคุมค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบจาก NIM ที่ลดลง และ (4) คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง 6.3% **
การประชุมนักวิเคราะห์
• เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายสูงขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของไทย (1) การส่งออกไทยเติบโตใน 1H25 จากการเร่งนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ แต่การส่งออกอาจชะลอตัวใน 2H24 (2) การบริโภคในประเทศอ่อนแอ (3) นักลงทุนชะลอตัดสินใจลงทุนจากความไม่แน่นอน และ (4) นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง ดังนั้น BBL ปรับลดเศรษฐกิจไทยในปี 2025 เติบโตที่ <2% ทั้งนี้ขึ้นกับความสำเร็จในการเจรจาของไทยกับสหรัฐฯ
• ภูมิภาคอาเซียนอาจได้รับประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและจีน เพราะจะมีเงินทุนใหม่ไหลเข้ามาในภูมิภาค โดยประเมินว่าลูกค้าของธนาคารได้รับผลกระทบจำกัดจากสงครามการค้า สินเชื่ออาจชะลอตัวลง แต่จะไม่ส่งผลทำให้ปัญหาหนี้เสีย
• ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ธนาคารยังคงเป้าหมายการเงิน (1) สินเชื่อขยายตัว 3-4% บนสมมติฐานการเติบโตที่ 1.0-1.5 เท่าของจีดีพี (2) ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ในกรอบ 2.8%-2.9% บนสมมติฐานอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง 2 ครั้ง (3) อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้การดำเนินงาน (CIR) ที่ High-40s% เพราะยังมีช่องทางในการปรับลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน และเพิ่มรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยได้ และ 5) Credit cost ที่ 90-100 bps ของสินเชื่อรวม โดยได้ตั้งสำรองหนี้ฯ ล่วงหน้าใน 1Q ทำให้ Credit costs ใน 1Q เพิ่มสูง
• ธนาคารมีเงินกองทุนขั้นที่ 1 แข็งแกร่ง ที่ 16.5% (ยังไม่รวมกำไรใน 2H24) สามารถจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นได้เท่ากับในปี 2024 ที่ 8.50 บาทได้ หากกำไรปรับลดลงในปี 2025 อย่างไรก็ดี ไม่มีนโยบายการซื้อหุ้นคืน และไม่ได้ตัดโอกาสในการซื้อหุ้นคืน
• Permata มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง แม้กำไรใน 1Q25 ปรับลดลงจากสำรองหนี้ฯเพิ่มขึ้น แต่ NPL ratio ลดลง และ Coverage ratio สูงขึ้น รวมทั้ง
ปรับลดประมาณการลงจาก NIM ที่อ่อนแอกว่าคาด
• เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2025-26 ลง 3%/4% จากการปรับลดสมมุติฐาน NIM ลง 10-20 bps เหลือ 2.8%/2.7% ในปี 2025-26 จาก NIM ที่อ่อนแอกว่าคาดใน 1Q25 และอัตราดอกเบี้ยแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี ได้ปรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสูงขึ้น 10%/7% โดยคาด CIR จะอยู่ที่ 49.1%/48.9% ในปี 2025-26 ดังนั้น เราคาดว่ากำไรสุทธิจะทรงตัว YoY ในปี 2025 และปรับเพิ่มขึ้น 2% ในปี 2026
• เราตั้งสมมติฐาน Credit costs ในปี 2025 ที่ 110 bps และ ทุก 10 bps ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิในปี 2025 ลดลง 5%