Pi STOCK UPDATE : NER (BUY : FAIR PRICE : Bt7.10)
" 1Q23 กำไรไม่ดีนัก แต่ 2Q23 จะค่อยๆดีขึ้น "
NER รายงานกำไรสุทธิงวด 1Q23 เหลือ 314 ลบ. (-33%YoY,-15%QoQ) ได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคายางแม้ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ขณะที่แนวโน้มในช่วง 2Q23 คาดว่าปริมาณขายจะดีขึ้นหลังความต้องการยางจากจีนยังมีอยู่มาก รวมถึงราคาที่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น แต่ความเสี่ยงคือผลกระทบจากภัยแล้วที่อาจจะทำให้ปริมาณยางพาราในภาคอีสานน้อยกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งทำให้การขยายโรงงานใหม่ของ NER ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลกระทบดังกล่าวอยู่ ทั้งนี้เราปรับกำไรในปี 23 ลดลงจากเดิม 16% เหลือ 1,640 ลบ. (-6%YoY) แต่ด้วยเงินปันผลที่ยังดีอยู่ในระดับ 6-7% เราจึงแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม
1Q23 รายงานกำไรสุทธิที่ 314 ลบ. (-33%YoY,-15%QoQ)
• NER มีกำไร 1Q23 314 ลบ. (-33%YoY,-15%QoQ) แต่ถ้าไม่รวมขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ 19 ลบ. และกำไรจากอัตราแลก 30 ลบ. กำไรปกติจะอยู่ที่ 303 ลบ. (-31%YoY,-12%QoQ)
• รายได้อยู่ที่ 6,254 ลบ. (+12%YoY,-12%QoQ) มีปริมาณขาย 127,574 ตัน (+32%YoY,-7%QoQ) แต่ราคาขายเฉลี่ยเหลือ 49 บาท/กก. (-16%YoY,-5%QoQ ) เพราะเป็นการขายในช่วงปลาย 3Q22 ที่ราคายางปรับตัวลดลง
• กำไรขั้นต้นที่ 9.7% ลดลงจาก 13.8% ใน 1Q22 และ 10% ใน 4Q22 ยังคงได้รับผลกระทบจากราคาขายที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 180 ลบ. (-14%YoY,-24%QoQ) เพราะค่าขนส่งที่ลดลงดอกเบี้ยจ่าย 113 ลบ. (+20%YoY,-7%QoQ) เพิ่มจากปีก่อนเพราะมีการออกหุ้นกู้เพิ่มในเดือน ก.ย. 22 ส่วนที่ลดลงจาก 4Q22 เพราะราคายางลดลงทำให้ใช้เงินหมุนเวียนลดลง
มองความต้องการยางยังดีโดยเฉพาะจากจีนและอินเดีย
• ภาพรวมอุตสาหกรรมยางพาราในแง่ของความต้องการใช้ยางทาง NER มองว่ายังมีอยู่อย่างมาก โดยส่วนใหญ่มาจากจีนที่เปิดประเทศตั้งแต่ต้นปี ซึ่งในช่วง 2Q23 มีการประเมินว่าจีนจะมีความต้องการยางรถยนต์เพิ่มขึ้นกว่า 20%YoY เติบโตต่อเนื่องจาก 1Q23 ที่เพิ่มขึ้น 5%YoY แต่สิ่งที่ทำให้ NER กังวลคือผลผลิตยางพาราที่ในปี 23 มีการประเมินว่าปริมาณฝนจะตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 5% ซึ่งทำให้เป้าการขายในปีนี้ที่ระดับ 500,000 ตันยังมีความเสี่ยงเพราะปัจจุบันมีสต๊อกยางพร้อมขายเพียง 200,000 ตัน ยังขาดอีกมากกว่า 100,000 ตันที่จะต้องจัดหา
ปรับกำไรทั้งปีลง 16% เหลือ 1,640 ลบ. (-6%YoY)
• ด้วยกำไรสุทธิ 1Q23 ที่ออกมาเพียง 314 ลบ. และแม้ว่าแนวโน้มในช่วง 2Q23 จะเห็นการเติบโตได้เมื่อเทียบกับ 1Q23 ทั้งในแง่ราคาและปริมาณขาย ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ แต่ด้วยแนวโน้มราคายางที่โดยเฉลี่ยต่ำกว่าปีก่อน เราจึงปรับราคาขายเฉลี่ยทั้งปีลงจากเดิม 6% เหลือ 52.6 บาท/กก. และทำให้ประเมินกำไรสุทธิลดลงจากเดิม 16% มาอยู่ที่ 1,640 ลบ. (-6%YoY)
• แต่ด้วยผลตอบแทนเงินปันผลที่ระดับ 6-7% (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) รวมกับผลประกอบการที่จะค่อยๆฟื้นตัว เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิมด้วยมูลค่าเหมาะสมใหม่ที่ 7.10 บาท (8XPER’23E)