McDonald’s คือบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่ร้านขายเบอร์เกอร์

Published
Share this article:
banner image

นักลงทุนจำนวนมากอาจยังไม่ทราบว่า McDonald’s (MCD) ซึ่งเป็นแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดระดับโลก แท้จริงแล้วถูกจัดอยู่ในกลุ่ม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และแฟรนไชส์ มากกว่าบริษัทอาหาร โดยการขายเบอร์เกอร์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงสร้างรายได้เท่านั้น

ในปัจจุบัน รายได้หลักของ McDonald’s ไม่ได้มาจากการขายอาหารโดยตรง แต่เกิดจาก ค่าเช่าที่ดินและอาคาร ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ (Royalty Fee) รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ซึ่งนี่คือโครงสร้างรายได้ที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ราคาหุ้น McDonald’s ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แม้รายได้รวมจะไม่ได้เติบโตโดดเด่น

ราคาหุ้น McDonald’s ปรับตัวขึ้นได้ แม้รายได้ไม่เร่งตัว

เวลานักลงทุนวิเคราะห์หุ้น สิ่งแรกที่มักดูคือ “รายได้เติบโตหรือไม่” แต่ในความเป็นจริง ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรายได้เพียงอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ

  • ความสามารถในการทำกำไร (Profitability)
  • ประสิทธิภาพการใช้เงินลงทุน (Capital Efficiency)

กรณีของ หุ้น MCD เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมาก แม้รายได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะค่อนข้างทรงตัว แต่ราคาหุ้นในช่วง 5 ปีหลังกลับให้ผลตอบแทนมากกว่า 40% สะท้อนว่าตลาดให้คุณค่ากับ “คุณภาพของกำไร” มากกว่าการเติบโตของยอดขายเพียงอย่างเดียว

McDonald’s เปลี่ยนตัวเองสู่ธุรกิจอสังหาฯ + แฟรนไชส์เต็มรูปแบบ

หัวใจสำคัญของโมเดลธุรกิจ McDonald’s คือการผสาน อสังหาริมทรัพย์ แฟรนไชส์ และเทคโนโลยี เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้โครงสร้างต้นทุนเบา แต่กำไรมีเสถียรภาพสูง

หากดูตัวเลข อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) จะเห็นภาพชัดเจน โดยเพิ่มขึ้นจากประมาณ 51% ในปี 2020 เป็นราว 57% ในปัจจุบัน หมายความว่าทุก 1 ดอลลาร์ที่บริษัทสร้างรายได้ สามารถเก็บเป็นกำไรได้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยหนุนราคาหุ้นในระยะยาว

3 กลยุทธ์หลักที่ทำให้ McDonald’s แตกต่างจากธุรกิจร้านอาหารทั่วไป

1) โมเดลแฟรนไชส์ที่เน้นการถือครองอสังหาริมทรัพย์

McDonald’s ไม่ได้ขายเพียงสิทธิแฟรนไชส์ แต่ขายเป็นแพ็กเกจที่รวม ที่ดินและอาคารร้าน โดยบริษัทจะเป็นผู้เลือกทำเล ซื้อที่ดิน และก่อสร้างร้านเอง จากนั้นให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์เช่าพื้นที่ไปดำเนินกิจการ

ผลลัพธ์คือ

  • บริษัทมี รายได้ค่าเช่าที่มั่นคงทุกเดือน
  • ถือครองสินทรัพย์ที่มูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
  • ลดภาระการบริหารร้านอาหารโดยตรง

2) การใช้ข้อมูล (Data-Driven Expansion)

McDonald’s เก็บข้อมูลลูกค้าจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการบริโภค การเดินทาง ความหนาแน่นของผู้คน ไปจนถึงสภาพอากาศ เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ทำเลใหม่อย่างแม่นยำ

กลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทสามารถขยายสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งเป้าเพิ่มจำนวนร้านเป็น ประมาณ 50,000 สาขาทั่วโลก ซึ่งถือเป็นการขยายตัวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท

3) ระบบรายได้ 3 ทางจากแฟรนไชส์ (Multiple Income Streams)

โมเดลธุรกิจของ McDonald’s เป็นลักษณะ Asset-Light ในมุมการดำเนินงานร้าน แต่สร้างรายได้พร้อมกันถึง 3 ช่องทาง ได้แก่

  • ค่าเช่าที่ดินและอาคาร (Recurring Income)
  • ค่า Royalty Fee จากยอดขายของร้านแฟรนไชส์
  • ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าแฟรนไชส์ ค่าโฆษณา และค่าเทคโนโลยี

โครงสร้างนี้ช่วยให้บริษัทมีรายได้สม่ำเสมอ และควบคุมความผันผวนของกำไรได้ดีกว่าธุรกิจร้านอาหารทั่วไป

บทสรุปเชิงกลยุทธ์สำหรับนักลงทุน

กรณีศึกษาของ McDonald’s สะท้อนให้เห็นว่า หุ้นที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นบริษัทที่รายได้เติบโตแรงเสมอไป แต่คือบริษัทที่สามารถ

  • ปรับโมเดลธุรกิจให้สร้างกำไรได้ดีขึ้น
  • มีรายได้ประจำ (Recurring Income)
  • ใช้สินทรัพย์และเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไม แม้ McDonald’s จะไม่ได้เติบโตจากการขายอาหารมากขึ้น แต่สามารถเติบโตจากการ “บริหารกำไร” ได้อย่างยั่งยืน และกลายเป็นหนึ่งในหุ้นคุณภาพที่นักลงทุนทั่วโลกจับตามอง

⚠️ คำเตือน : ข้อมูลทั้งหมดนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้และใช้ประกอบการวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้ชวนหรือแนะนำให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใด ๆ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน 

About Author

profile icon
Pi Marketing and Communication Team
Pi Securities Public Company Limited