STEC (BUY : Fair Price : Bt 11.80 : 2Q24 กำไรสุทธิเหลือ 25 ล้านบาท
**เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยเหตุผลเดิมคือให้ติดตามการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐ เพราะระยะสั้นถูกกดดันจากผลประกอบการงวด 2Q24 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 25 ล้านบาท หลังมีต้นทุนจากงานซ่อมบำรุงโครงการอุโมงค์บึงหนองบอนเข้ามากว่า 180 ล้านบาท และทำให้เราปรับกำไรทั้งปีลงเหลือ 170 ล้านบาทเท่านั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกคือรายได้ในช่วง 2H24 ยังคงรักษาระดับ 8,000 ล้านบาทได้จากฐาน Backlog ที่มีอยู่กว่า 60,000 ล้านบาท สำหรับการปรับโครงสร้างบริษัทเป็นโฮลดิ้งนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนรูปแบบอื่นๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ทั้งในส่วนของงานก่อสร้าง และรายได้จากการดำเนินกิจการซึ่งจะเป็นธุรกิจที่มีกำไรสูงกว่าปัจจุบัน **
2Q24 กำไรสุทธิ 25 ล้านบาท (-84%YoY,+113%QoQ)
• งวด 2Q24 STEC มีกำไรสุทธิ 25 ล้านบาท (-84%YoY,+113%QoQ) เทียบกับปีก่อนสาเหตุหลักเพราะผลขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู ส่วนเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้นสาเหตุหลักเพราะมีรายได้เงินปันผลเข้ามากว่า 203 ล้านบาท และรายได้เพิ่มขึ้นแต่ถูกกดดันจากต้นทุนค่าซ่อมอุโมงหนองบอนที่รับรู้เพิ่ม
• รายได้หลักที่ 8,457 ล้านบาท (+17%YoY,+30%QoQ) เพิ่มขึ้นมากจากธุรกิจก่อสร้างที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่รวมถึงงานโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่มีกำหนดเสร็จในปีนี้ เป็นต้น
• กำไรขั้นต้นเหลือที่ 2.8% ดีขึ้นจาก 2.1% ใน 2Q23 แม้ เพราะมีรายได้จากโครงการที่มีกำไรขั้นสูงมากขึ้น แต่ลดลงจาก 5.9% ใน 1Q24 เพราะต้นทุนส่วนเพิ่มของโครงการซ่อมอุโมงหนองบอนเข้ามา ค่าใช้จ่ายในการบริหารที่ 242 ล้านบาท (+12%YoY,+22%QoQ) รวมแล้ว STEC ขาดทุนจากการดำเนินงาน ล้านบาท ดีขึ้นจากขาดทุน 60 ล้านบาทใน 2Q23 แต่พลิกจากที่มีกำไร 182 ล้านบาทใน 1Q24
• ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม 166 ล้านบาท จากที่รับรู้กำไร 36 ล้านบาทใน 2Q23 และเพิ่มขึ้น 15%QoQ เพราะเป็นช่วง Low Seasons ของธุรกิจรถไฟฟ้าจากการมีวันหยุดมาก
ปรับโครงสร้างบริษัทจะเห็นผลดีในระยะยาว
สำหรับการปรับโครงสร้างบริษัทจากเดิมที่เน้นธุรกิจก่อสร้างไปเป็นบริษัทโฮลดิ้งและใช้ชื่อเป็น STECON Group (ปัจจุบันอยู่ระหว่างทำการแลกเปลี่ยนหุ้น) ซึ่งจะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มบริบัดน้ำ หรือกลุ่มเทคโนโลยี ภายใต้ชื่อ STECON Power หรืองานด้านระบบ Logistic ภายใต้ชื่อ STECON Logistic ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มรายได้จากงานก่อสร้างแล้ว (อย่างเช่นโครงการ Data Center ที่จะมีงานก่อสร้างเข้ามากว่า 7,000 ล้านบาท) จะเป็นการเพิ่มรายได้อื่นซึ่งจะเป็นธุรกิจที่มีกำไรมากขึ้นกว่างานก่อสร้างในปัจจุบัน
**ปรับกำไรลงหลัง 1H24 ทำได้ 37 ล้านบาท แต่ยังแนะนำ “ซื้อ” **
เราปรับกำไรในปี 24 ลงจากเดิม 58% เหลือ 170 ล้านบาท เพื่อสะท้อนถึงผลประกอบการในช่วง 1H24 ที่มีกำไรเพียง 37 ล้านบาท โดยเราคาดว่าผลประกอบการในช่วง 2H24 จะดีขึ้นได้ ทั้งจากงานก่อสร้างที่คืบหน้าขึ้นจากฐาน Backlog ที่มีกว่า 60,000 ล้านบาท รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่จะไม่สูงเท่า 2Q24 ขณะที่ Backlog ใหม่คาดว่าในช่วง 2H24 มีโอกาสได้รับงานเพิ่มประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยมีงานที่อยู่ระหว่างรอผลอย่างรถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคายมูลค่ากว่า 28,700 ล้านบาท หรืองาน Data Center เป็นต้น ส่วนงานสนามบินอู่ตะเภาคาดเริ่มก่อสร้างได้ปี 25คำแนะนำการลงทุน เราแนะนำเพียงเก็งกำไรตามการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐเท่านั้น โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 11.8 บาท (1XPBV’24E)