Pi STOCK UPDATE : MINT (BUY : FAIR PRICE Bt42.00)

Published
15 August 2023
Share this article:

" ฟื้นตัวแข็งแกร่งจาก low season "

กำไรสุทธิไตรมาส 2/23 อยู่ที่ 3.3 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติจะอยู่ที่ 3.0 พันล้านบาท (+148%YoY พลิกฟื้นจากขาดทุน 647 ล้านบาทในไตรมาส 1/23) สอดคล้องกับที่เราและตลาดคาด ขณะที่เราคาดว่าอุปสงค์การท่องเที่ยวในยุโรปจะฟื้นตัวเต็มที่ในครึ่งหลังปี 2023 แม้ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยรออยู่ ส่วนธุรกิจอาหารคาดว่าจะได้อานิสงส์จากการปรับปรุงแบรนด์ กิจกรรมการขายและการตลาด การขึ้นราคาอาหาร และ การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของจีนที่ฟื้นตัวขึ้น แต่การเติบโตของกำไรเชิง QoQ ในไตรมาส 3/23 จะยังท้าทายเพราะการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจและ MICE ในยุโรปยังฟื้นตัวกลับมาไม่เต็มที่ แต่ทั้งนี้มองว่าบริษัทจะมีกำไรไตรมาส 3/23 ที่โตดี YoY เพราะกิจการโรงแรมที่แข็งแกร่งมากขึ้นในไทยและโอเชียเนีย ปัจจุบันหุ้น MINT ซื้อขายกันที่ส่วนลด (29.6xPE’23E) เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่ม (ไม่รวม AWC) ที่ 33.2 เท่า ขณะที่มีปัจจัยหนุนการเติบโตจากแผนการขยายกิจการใน 3 ปี ข้างหน้าชัดเจน ด้วยเหตุนี้เราจึงยังคงคำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท

กำไรไตรมาส 2/23 ฟื้นตัวแข็งแกร่งจาก low season ในช่วงก่อน

• กำไรปกติที่ขยายตัวแข็งแกร่งได้แรงหนุนจากรายได้ธุรกิจโรงแรมที่แตะยอดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 3.0 หมื่นล้านบาท (+24%YoY +37%QoQ) หลัก ๆ มาจากธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่อยู่ภายใต้ NH Hotel Group (NHH) ด้วยอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักต่อคืน (RevPAR) ที่ขยายตัวขึ้น 25%YoY และ 61%QoQ ซึ่งยังสูงกว่าช่วงไตรมาส 2/19 อยู่ 35% ในด้านอัตราการเข้าพักอยู่ที่ 73% จาก 69% ในไตรมาส 2/22 แม้เป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของ high season ก็ตาม ขณะที่มีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ที่สูงกว่าไตรมาส 2/19 อยู่ 38% หรือที่ Є152/คืน (+19%YoY) ทั้งนี้ แม้ RevPAR ของโรงแรมในไทยจะหดตัวราว 30%QoQ เพราะ low season แต่ยังสูงกว่าไตรมาส 2/19 อยู่ 4% หนุนจาก ADR ที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนกำไรของ NHH ที่แข็งแกร่งช่วยชดเชยผลกระทบจาก low season ในไทย โอเชียเนีย และ มัลดีฟส์ รวมถึงผลงานที่น่าผิดหวังของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (MLR) ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่มี RevPAR ลดลง 10% YoY ได้ทั้งหมด สำหรับ EBITDA margin ของธุรกิจโรงแรมขยายตัวแตะยอดสูงรอบ 6 ไตรมาสที่ 32.9%

• รายได้ธุรกิจอาหารยังทำยอดสูงเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องที่ 7.3 พันล้านบาท (+21%YoY) แม้จะเป็นช่วง low season ในไทยก็ตาม ธุรกิจอาหารมี SSSG ที่แข็งแกร่งระดับ 8.1% เทียบ 7.8% และ 11.4% ในไตรมาส 2/22 และ 1/23 ตามลำดับ หนุนจากการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวหลังกลับมาเปิดเมืองเต็มรูปแบบ บวกกับการทานอาหารในอาคารที่สูงขึ้น อานิสงส์จากการปรับปรุงกิจกรรมการตลาด การขึ้นราคาอาหาร แต่ทั้งนี้ EBITDA margin ในธุรกิจอาหารลดเหลือ 21.0% เทียบกับ 21.8% ในไตรมาส 1/23 เพราะผลกระทบที่สูงขึ้นจากค่าสาธารณูปโภคและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น แต่ยังโตแข็งแกร่ง YoY จากฐานต่ำในไตรมาส 2/22 ที่ 17.0% เพราะ 1) ต้นทุนอาหารที่เริ่มลดลง 2) ส่วนแบ่งรายได้ที่สูงขึ้นจากการทานอาหารในอาคาร และ 3) กิจการร้านอาหารจีนที่ฟื้นตัวหลังช่วงคลายล็อกดาวน์ โดยมี SSSG ที่ฟื้นตัว 40%

คาดกำไรครึ่งหลังปี 2023 ยังแข็งแกร่ง

คาดว่าการฟื้นตัวกลับมาของธุรกิจท่องเที่ยวและค่าตั๋วโดยสารไปยุโรปที่กลับสู่ระดับปกติจะเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อผลประกอบการธุรกิจโรงแรมในยุโรป ซึ่งมองว่าจะช่วยกระตุ้นยอดจองห้องพักและรักษา ADR ในฐานสูงที่ราว €150/คืนได้ในช่วงเดือน ต.ค. - พ.ย. 2023 ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวได้ ปัจจุบันเรายังไม่เห็นสัญญาณที่ชี้ถึงภาวะอุปสงค์การเข้าพักที่ชะลอตัวจากราคาค่าห้องที่สูงขึ้นในภาคการท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนแต่อย่างใด ซึ่งจะเอื้อให้ MINT ส่งต่อภาระต้นทุนสาธารณูปโภคและอาหารที่ไม่น่าจะลดลงในระยะสั้นนี้ไปสู่ลูกค้าได้ เราคาดว่าประเด็นรบกวนเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปจะมี downside ที่จำกัด เพราะนักท่องเที่ยวท้องถิ่นที่คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของจำนวนแขกในกลุ่ม NHH ทั้งหมดจะเลือกเที่ยวในภูมิภาคของตัวเองและลดงบท่องเที่ยวต่างประเทศที่ต้องมีการเดินทางโดยเครื่องบินระยะไกล (Long-haul flights)

คงคำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) (WACC 8.0%) ปัจจุบัน MINT มีมูลค่าซื้อขายที่น่าดึงดูด พร้อมกับมีประเด็นการเติบโตที่ยังแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เพราะบริษัทได้อานิสงส์จากการกระจายธุรกิจไปยังที่ต่าง ๆ เป็นอย่างดี บวกกับขนาดกิจการและโครงข่ายที่กว้างขวาง ซึ่งมักสร้างความได้เปรียบด้านการประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ได้ดีกว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมตัวอื่นๆ