SCC (HOLD : Fair Price : Bt318.00) : ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนในตลาดโลก

Published
30 October 2023
Share this article:

เราคงคำแนะนำ "ถือ" ขณะที่ปรับลดมูลค่าพื้นฐานแบบคิดลดเงินสด (DCF) ลงเป็น 318 บาท กำไรสุทธิไตรมาส 3/23 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY, -70% QoQ) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด หากไม่รวมรายการพิเศษซึ่งหลัก ๆ คือการด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจซีเมนต์ในเมียนมา กำไรปกติจะอยู่ที่ 3.0 พันล้านบาท (+26% YoY, -52% QoQ) การเติบโต YoY ได้แรงหนุนจากปริมาณขายในธุรกิจเคมีภัณฑ์ (SCGC) และกำไรสต็อกที่ดีขึ้น ส่วนกำไรที่ลดลง QoQ เป็นผลจากการขาดหายไปของกำไรเงินปันผลตามฤดูกาล ทั้งนี้ บริษัทจะเผชิญกับประเด็นค้างคาเรื่องความไม่แน่นอนในตลาดโลกในช่วงสั้น ที่รวมถึงปัจจัยด้านอุปสงค์และราคาที่กดดันธุรกิจเคมีภัณฑ์ แต่เรามองบวกมากขึ้นต่อภาพครึ่งหลังปี 2024 และปี 2025 เพราะอุปสงค์ซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น ส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ที่กลับเป็นปกติ และการเติบโตของยอดขายจากโครงการ LSP หลังเริ่มเดินเครื่องที่จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรได้

กำไรไตรมาส 3/23 ลดลงเพราะผลงานที่อ่อนแอในทุกลุ่ม

• กำไรสุทธิไตรมาส 3/23 อยู่ที่ 2.4 พันล้านบาท (ทรงตัว YoY, -70% QoQ) ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด หากไม่รวมรายการพิเศษซึ่งหลัก ๆ คือการด้อยค่าสินทรัพย์ธุรกิจซีเมนต์ในเมียนมา กำไรปกติจะอยู่ที่ 3.0 พันล้านบาท (+26% YoY, -52% QoQ) การเติบโต YoY ได้แรงหนุนจากปริมาณขายในธุรกิจเคมีภัณฑ์ (SCGC) และกำไรสต็อกที่ดีขึ้น ส่วนกำไรที่ลดลง QoQ เป็นผลจากการขาดหายไปของกำไรเงินปันผลตามฤดูกาล

• รายได้ธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างลดลง 9% YoY เป็น 4.7 หมื่นล้านบาท (ทรงตัว QoQ) ฉุดจากการแยกงบ SCG logistics และปริมาณขายในเวียดนามและกัมพูชาที่ลดลง EBITDA อยู่ที่ 3.4 พันล้านบาท (-19% YoY, -26% QoQ) รายได้ธุรกิจปิโตรเคมีลดลง 13% YoY เป็น 4.97 หมื่นล้านบาท (+2% QoQ) หลังจากราคาสินค้าปรับลดลง ขณะที่ EBITDA ฟื้นตัวจากขาดทุนในไตรมาส 3/22 มาเป็น 2.8 พันล้านบาท จากกำไรสต็อกและปริมาณขายที่โตขึ้นอุปสงค์และอัตรากำไรเจอแรงกดดันจากตลาดโลก

• การชะลอตัวทางเศรษฐกิจจากเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยคาดว่าจะยังเป็นแรงกดดันต่ออุปสงค์ในธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซีเมนต์ และบรรจุภัณฑ์ในระยะสั้นจนถึงครึ่งแรกปี 2024 คาดกำไรไตรมาส 4/23 ทรงตัว QoQ แต่ฟื้นตัว YoY จากฐานต่ำในไตรมาส 4/22 เรามองบวกต่อภาพรวมครึ่งหลังปี 2024 และปี 2025 เพราะภาพรวมอุปสงค์ซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคที่ปรับดีขึ้น ส่วนต่างเคมีภัณฑ์ที่กลับเป็นปกติ และการเติบโตของยอดขายจากโครงการ LSP ที่จะช่วยหนุนการเติบโตของกำไรได้อีกแรง

• เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2023-24 ลง 30% และ 13% เป็น 3.05 หมื่นล้านบาทและ 3.24 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ สาเหตุจาก 1) รายได้ที่ลดลงเพราะการปรับราคาสินค้าในธุรกิจซีเมนต์ บรรจุภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ และ 2) อัตรากำไรที่ลดลงจากส่วนต่างราคาเคมีภัณฑ์ (โอเลฟินส์) ที่อ่อนแอ

คงคำแนะนำ "ถือ" พร้อมปรับลดมูลค่าพื้นฐานเป็น 318.0 บาท

เราคงคำแนะนำ "ถือ" ขณะที่ปรับลดมูลค่าพื้นฐานเป็น 318.0 บาท (จาก 341.0 บาท) สะท้อนวัฏจักรขาลงของเคมีภัณฑ์ที่กินเวลานานออกไปและการปรับประมาณการกำไรของเรา มูลค่าพื้นฐานแบบ DCF ของเรา (WACC 5.9%, TG 1%) อิง 12x PE’24E ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปี