Pi STOCK UPDATE : MINT (BUY : FAIR PRICE Bt42.00)
" กำไรฟื้นตัวดีมากจากช่วง low season "
เราคาดว่ากำไรจะขึ้นมายืนเหนือช่วงก่อน COVID-19 อีกครั้งในไตรมาส 2/23 หลังจากเผชิญกับช่วง low season มาในช่วงต้นปี ขณะที่คาดถึงอุปสงค์ที่ฟื้นตัวเต็มที่ในธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจในยุโรป บวกกับอานิสงส์จากการปรับปรุงแบรนด์และการขยายสาขาร้านอาหารโดยเฉพาะในไทย เราประเมินว่าค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน (OPEX) จะอยู่ในกรอบที่จัดการได้ เพราะต้นทุนสาธารณูปโภคยังต่ำอยู่ ขณะที่มองว่าต้นทุนอาหารได้พ้นยอดสูงไปแล้ว เราคาดว่าทิศทางกำไรครึ่งหลังปี 2023 จะกลับมาเร่งตัวขึ้นในช่วง high season ของยุโรป ไทย และโอเชียเนีย ซึ่งจะช่วยชดเชยขาลงของมัลดีฟส์ได้ทั้งหมด ปัจจุบัน MINT ยังซื้อขายกันที่ส่วนลดต่อค่าเฉลี่ยของกลุ่ม (ไม่รวม AWC) ที่ 29.2xPE’23E ขณะที่บริษัทมีแผนการขยายกิจการเชิงรุกในกรอบ 3 ปี เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท แม้หุ้นยังมี downside risk จากความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ก็เป็น downside ในวงแคบเท่านั้น
คาดกำไรไตรมาส 2/23 ฟื้นตัวแข็งแกร่งจาก low season
• เราคาดว่ากำไรปกติจะอยู่ที่ 3.0 พันล้านบาท (+150%YoY พลิกฟื้นจากขาดทุน 647 ล้านบาทในไตรมาส 1/23) ที่โตแข็งแกร่งเพราะรายได้ธุรกิจโรงแรมที่คาดว่าจะแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 3.0 หมื่นล้านบาท อานิสงส์จากพอร์ตโรงแรมในยุโรปภายใต้กลุ่ม NH Hotel (NHH) ที่มีผลงานดี ด้วยคาดการณ์ว่าอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักต่อคืน (RevPar) จะโต 25% YoY และ 61% QoQ และยังยืนเหนือค่าเฉลี่ยไตรมาส 2/19 อยู่ 35% ขณะที่ประเมินว่าอัตราการเข้าพักจะเต็มอัตราอย่างรวดเร็วในช่วงต้น high season สะท้อนผ่านอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ที่คาดว่าจะยังยืนเหนือไตรมาส 2/19 ที่ EUR152/คืน (+17%YoY) ได้ราว 38% ด้าน RevPar ในโรงแรมไทยคาดว่าจะหดตัว 30%QoQ เพราะเป็นช่วง low season แต่จะยังสูงกว่าไตรมาส 2/19 อยู่ 4% หนุนจากการปรับเพิ่ม ADR ในช่วงหลัง เรามองว่ากำไรที่ยอดเยี่ยมของ NHH (รายงานกำไรปกติที่ EUR78m) จะช่วยชดเชยผลกระทบจากช่วง low season ในไทย โอเชียเนีย และมัลดีฟส์ได้ทั้งหมด ในกรณีของมัลดีฟส์นั้นถูกซ้ำเติมด้วยราคาตั๋วโดยสารที่พุ่งขึ้นและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดที่ลดลงเพราะการกลับมาเปิดประเทศของที่อื่น ทั้งนี้ คาดว่า EBITDA margin ของธุรกิจโรงแรมจะโตแตะยอดสูงรอบ 6 ไตรมาสที่ 34.0%
• คาดว่ารายได้ธุรกิจอาหารจะลดลง QoQ เป็น 7.2 พันล้านบาท ฉุดจาก low season แต่น่าจะโตได้ 18%YoY เพราะคาดถึงการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่แข็งแกร่งต่อเนื่องระดับ 8.8% เทียบ 7.8% และ 11.4% ในไตรมาส 2/22 และ 1/23 ตามลำดับ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากการบริโภคในประเทศที่ค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากกลับมาเปิดเมืองเต็มรูปแบบ และอานิสงส์จากการปรับปรุงแบรนด์บางส่วน ด้าน EBITDA margin ในธุรกิจอาหารคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง QoQ และ YoY เป็น 22.1% เทียบ 17.0% ในไตรมาส 2/22 และ 21.8% ในไตรมาส 1/23 หนุนจากจาก 1) ต้นทุนอาหารและค่าสาธารณูปโภคที่เริ่มลดลง 2) ส่วนแบ่งรายได้ที่สูงขึ้นจากการทานอาหารภายในอาคาร และ 3) กิจการในจีนที่ฟื้นตัวหลังช่วงล็อกดาวน์ ซึ่งคาดว่าจะมี SSSG ที่ +40%
คาดกำไรครึ่งปีหลังจะกลับมาเร่งตัวขึ้น
ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่องและราคาตั๋วโดยสารไปยุโรปที่กลับสู่ระดับปกติน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลงานธุรกิจโรงแรมในยุโรป ซึ่งคาดว่าจะช่วยรักษา ADR ไว้ในกรอบสูงที่ราว EUR150/คืนไปจนถึงช่วงต้นไตรมาส 4/23 ได้ ขณะที่บริษัทยังไม่เห็นสัญญาณความอ่อนไหวต่อราคาและการชะลอตัวในภาคท่องเที่ยวแต่อย่างใด เราคาดว่าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยจะก่อให้เกิด downside ต่อกิจการของ MINT ไม่มาก เพราะนักท่องเที่ยวในโซนนี้ที่คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80% ของจำนวนแขกทั้งหมดใน NHH มักเลือกท่องเที่ยวภายในภูมิภาคและลดค่าใช้จ่ายในการเที่ยวต่างประเทศที่ต้องบินไกลมากกว่า
คงคำแนะนำ "ซื้อ" มูลค่าพื้นฐาน 42 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) (WACC 8.0%) ปัจจุบัน MINT มีมูลค่าซื้อขายที่น่าดึงดูด (29.2xPE’23E เทียบค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงแรมที่เราวิเคราะห์อยู่ที่ 32.1xPE’23E) คาดว่ากำไรของบริษัทจะยังแข็งแกร่งกว่าคู่แข่ง เพราะมีพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงตามภูมิภาคต่าง ๆ ที่ดีกว่า ทั้งในแง่ของที่ตั้งและขนาดของกิจการ ซึ่งมองว่าจะนำไปสู่ความประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม